วันเสาร์ที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2559

ตีแนวรับแนวต้านแบบมืออาชีพ (1)

ตีแนวรับแนวต้านแบบมืออาชีพ (1)


มีหลายคนสงสัยมากว่าการตีเส้นแนวรับแนวต้านที่ถูกต้องนั้นเป็นอย่างไร เพราะเห็นเทรดเดอร์หลายแต่ละคนก็ตีไม่เหมือนกัน ซึ่งเป็นที่สับสนอย่างมากสำหรับเทรดเดอร์มือใหม่ จะงงกันว่าตกลงมันตรงไหนกันแน่ บางคนระดับนี้ บางคนอีกระดับนึง

ต้องบอกในที่นี้ก่อนเลยว่า มันไม่มีถูกผิดในการตีแนวรับแนวต้าน อยู่ที่มุมมองของเทรดเดอร์ท่านนั้นว่าตีทำไม ตีเพื่ออะไรมากกว่า แต่มันจะผิดคือไม่เทรดเดอร์ตีโดยปราศจากวัตถุประสงค์ หรือตีมั่วๆ
ในบทความนี้จะนำแนวทางในการตีแนวรับแนวต้านแบบมืออาชีพมาแชร์ให้กับเพื่อนๆที่เทรด Forex มาศึกษาและนำไปประยุกต์ใช้กัน ซึ่งบอกได้เลยว่าแต่ละแนวทางนั้นมีประสิทธิภาพในการนั้นไปใช้งานจริงอย่างมาก


#1 ทำให้กราฟให้สะอาด
เพื่อให้เราหาบริเวณแนวรับแนวต้านได้อย่างชัดเจนนั้น ควรเริ่มจากการทำกราฟของเราให้สะอาดก่อนเป็นอันดับแรก ลบเครื่องมือ Indicator ต่างๆ ทั้งเส้นค่าเฉลี่ย , กรอบ BB , ตัวเลข Fibo และอื่นๆ ให้เหลือเพียงแท่งเทียนเปล่าๆ เพื่อที่เราจะได้มองกราฟได้อย่างชัดเจน

#2 เริ่มจากภาพรายสัปดาห์
ภาพรายสัปดาห์ เป็นภาพใหญ่ที่แนะนำให้เทรดเดอร์พิจารณาก่อน เพื่อหาบริเวณแนวรับ แนวต้านสำคัญๆ เอาไว้พิจารณาในการเทรด เนื่องจากการเคลื่อนไหวของราคาในภาพใหญ่นั้นค่อนข้างชัดเจนและมีนัยสำคัญ

USDJPY ในภาพรายสัปดาห์ เป็นตัวอย่างในการตีเส้นแนวรับ แนวต้านบริเวณที่มีนัยสำคัญ ซึ่งจะสังเกตได้ว่าบริเวณดังกล่าวราคาทดสอบอยู่บ่อยครั้ง

#3 ย่อลงไปดูภาพรายวัน
หลังจากที่ดูรายใหญ่ไปแล้ว ก็ย่อยลงมาดูในภาพรายวัน ภาพที่เทรดเดอร์แทบทุกคนดูภาพนี้
ในที่นี้ให้มาสังเกตหาบริเวณแนวรับแนวต้านเช่นเดียวกัน
แต่ในภาพรายวันนั้นภาพจะไม่ชัดเจนเท่ากับในภาพรายสัปดาห์ ซึ่งแนะนำให้เทรดเดอร์สังเกตแต่บริเวณที่ชัดเจนจริงๆ ตรงไหนคลุมเครือให้ข้ามไป
โดยสามารถแยกเป็น
            - แนวรับแนวต้าน “สำคัญ”
            - แนวรับแนวต้าน “ย่อย”

ดังตัวอย่าง


กราฟเดิมของ USDJPY แต่ Time frame เป็นภาพรายวัน
- โดยเส้นปะสีน้ำเงินเข้มนั้นเป็นเส้นแนวรับแนวต้านในภาพรายสัปดาห์เดิมที่วางไว้
- เส้นสีเขียวเป็นแนวรับแนวต้าน “สำคัญ” ในภาพรายวัน
- เส้นสีชมพูเป็นแนวรับแนวต้าน “ย่อย” ในภาพรายวัน

#4 ความแตกต่างระหว่างแนวรับแนวต้าน “สำคัญ” กับ “ย่อย”
บางคนอาจสงสัยว่าจาก #3 ที่บอกว่าสามารถแยกแนวรับแนวต้านเป็น 2 แบบ คือ สำคัญ กับ ย่อย คำถามคืออันไหนถึงเรียกว่าสำคัญ แล้วอันไหนถึงเรียกว่าย่อย
มันไม่มีคำจำกัดความที่ชัดเจนว่า บริเวณนี้ต้องเป็น สำคัญ บริเวณนี้ต้องเป็น ย่อย ซึ่งขึ้นอยู่กับเทรดเดอร์ที่ตีเส้นดังกล่าว
โดยในความหมายทั่วไป
สำคัญ คือ บริเวณที่มีการทดสอบบ่อยครั้ง (3 ครั้งขึ้นไป)
ย่อย คือ บริเวณที่มีการทดสอบไม่บ่อยครั้ง (2 - 3 ครั้ง)

ซึ่งแล้วการแยกประเภทว่าอันไหนสำคัญ อันไหนย่อย นั้นก็เพื่ออะไร
ก็เพื่อที่จะแบ่งบริเวณว่า


ถ้าช่วงที่ราคาลงมาทดสอบบริเวณแนวรับแนวต้าน “สำคัญ” เราก็จะให้ความสำคัญกับตรงนั้นมากขึ้น อาจมีการเพิ่ม Size การเทรด  เพราะโอกาสการกลับตัวนั้นมีสูง
และถ้าช่วงไหนที่ราคาลงมาทดสอบบริเวณแนวรับแนวต้าน “ย่อย” เราก็จะให้ความสำคัญกับตรงนั้นลดน้อยลง อาจลด Size การเทรด เพราะโอกาสการกลับตัวนั้นลดลง

ทีมงาน : forexbrokersthailand.com

จัดการกับความกลัวในการเทรด Forex

จัดการกับความกลัวในการเทรด Forex



“ความกลัว” ในโลกของการเทรด Forex นั้น หลักๆนั้นมากจาก โอกาสที่จะสูญเสียเงินลงทุน ที่มันสามารถเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ และกับเทรดเดอร์ทุกคน

อารมณ์กลัว ถือเป็นพื้นฐานของมนุษย์ที่ทุกคนมี เป็นสิ่งที่เทรดเดอร์ต้องเผชิญ เพียงแต่เราจะจัดการหรือควบคุมมันได้มากน้อยแค่ไหน

หลายคนคงเคยเจอเหตุการณ์เช่นนี้
…ถือ Long ค่าเงิน EUR/USD ที่ต้นทุน 1.3220
จุดตัดขาดทุนตั้งไว้ที่ 1.3190
ราคา ณ ตอนนั้นเท่ากับ 1.3205 ดังนั้นขาดทุนอยู่ 15 pips
ซึ่งราคาได้ย่อลงมาใกล้จุดตัดขาดทุนแล้ว
หลายคนจะเริ่มกลัว เริ่มกังวล ว่าการเทรดครั้งนี้อาจจะแพ้ได้
กลัวการที่อนาคตอาจขาดทุนเพิ่มมากขึ้นมากกว่าตอนนี้
สุดท้าย ก็ปิดออเดอร์นั้นไป
และหลังจากนั้นก็เหมือนกับมือใหม่หลายๆคนเจอคือ ราคามักวิ่งไปตามที่เราคาด หลังจากที่เราพึ่งปิดออเดอร์นั้นไป


เทรดเดอร์ส่วนใหญ่มักเป็นอย่างนั้น และส่วนใหญ่ที่ขาดทุน ดังนั้นหากจะเป็นเทรดเดอร์ที่กำไรนั้นจะต้องเป็นคนส่วนน้อย
เป็นคนที่สามารถควบคุมความกลัวได้
ส่วนการที่จะควบคุมความกลัวได้นั้น คือเราต้องรู้ว่าตัวเองกำลังกลัว
เพราะการที่รู้ว่าตัวเองนั้นเป็นสิ่งที่ดี เป็นสัญญาณเตือนว่าเรากำลังรู้สึกอะไรบางอย่างที่ไม่ดีในการเทรด
จากนั้นก็ให้ตั้งคำถามกับตัวเองย้อนกลับไปว่า “ทำไมเราถึงกลัว”
  • กลัวขาดทุน ?
  • พื้นฐานเปลี่ยน ?
  • สัญญาณเทคนิคเปลี่ยน ?
เมื่อรู้แล้วว่าทำไมเราถึงกลัว เราจะกลับมาตัดสินใจเทรดได้ดีขึ้น
แต่อย่างไรก็ตาม ถ้าเราไม่สามารถวิเคราะห์ได้ว่าเรากำลังกลัวอะไร เราสามารถกลับไปดูแผนการเทรดของเรา ซึ่งจะทำให้เรารู้ว่าเราควรทำอย่างไรก็เหตุการณ์นั้นๆ แผนการเทรดจะช่วยดึงอารมณ์การเทรดของเรากลับมาได้เช่นเดียวกัน

ทีมงาน : forexbrokersthailand.com

วันจันทร์ที่ 26 ธันวาคม พ.ศ. 2559

Trend, Zone และ Signal

Trend, Zone และ Signal


ขอเรียกหลักการนี้ว่า T.Z.S. เป็นแนวคิดที่เอาไว้ช่วยให้เทรดเดอร์ เข้าเทรดอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยเป็นหา “แนวโน้ม” , “แนวรับแนวต้าน” และ “จังหวะเข้า” ที่ 3 อย่างนี้ต้องเกิดขึ้นพร้อมกันถึงจะเข้าเทรด
เป็นลักษณะการเทรดเป็น Price action หรือดูกราฟเปล่าๆในการวิเคราะห์


Trend
เริ่มจาก Trend หรือ แนวโน้ม
เราจะดูว่าแนวโน้มในช่วงนั้นเป็น ขาขึ้น หรือ ขาลง
ถ้าเป็น ขาขึ้น จะเล่นแต่ฝั่ง Long เพื่อไม่สวนแนวโน้ม
และถ้าเป็น ขาลง ก็จะเล่นแต่ฝั่ง Short


จากตัวอย่าง GBP/USD แนวโน้มหลักนั้นเป็น ขาขั้น
ซึ่งสังเกตได้ว่าเล่นฝั่ง Long จะได้เปรียบกว่าเล่นฝั่ง Short ค่อนข้างเยอะ

Zone
จากนั้นก็มาดูแนวรับแนวต้าน โดยเราจะสังเกตเป็นบริเวณ หรือ Zone มากกว่า ที่จะเป็น Level หรือ ระดับ เพราะว่าการเคลื่อนไหวของราคานั้นไม่ได้เป็นระดับเป๊ะ ๆ 100%


จากตัวอย่าง GBP/USD สามารถหาบริเวณโซนแนวรับแนวต้านสำคัญได้แถว 1.6200 – 1.6300 เป็นโซนที่ราคาขึ้นและลงทดสอบอยู่บ่อยครั้ง

Signal
เป็นหาจุดที่เราจะเปิดออเดอร์นั้นจริงๆ


จากตัวอย่าง GBP/USD ใช้ Signal โดยรูปแบบแท่งเทียนที่มีลักษณะ Bullish pinbar แสดงถึงแรงซื้อที่แข็งแกร่งคอยพยุงราคา

โดยจะเข้าก็ต่อเมื่อ
ทั้ง Trend , Zone และ Signal เกิดขึ้นพร้อมกันทั้ง 3 อย่างนี้
เป็นการสร้างโอกาสการชนะให้สูงขึ้นอย่างมากกว่าการเทรดโดยเพียงดู 1 หรือ 2 อย่าง


จากตัวอย่าง GBP/USD ใช้หลักการ T.Z.S. ที่ประกอบด้วย Trend , zone และ signal มาประกอบกันทั้งหมด เป็นจังหวะในการเข้าอย่างมีประสิทธิภาพ

ทีมงาน : forexbrokersthailand.com

Stochastic กับ รูปแบบแท่งเทียน

Stochastic กับ รูปแบบแท่งเทียน




เทรดเดอร์มือใหม่หลายคนมักใช้รูปแบบแท่งเทียนในการเทรดแบบผิดๆ โดยส่วนมากมักใช้ตรงๆ คือเมื่อเกิดรูปแบบตามตำราที่บอกไว้ ก็เทรดตาม อย่างเช่น แท่งเทียนเกิดรูปแบบ Morning star ก็เข้าเทรด ซึ่งอาจไม่เหมาะสม เพราะเราต้องดูภาพรวมของราคาอีกด้วย ว่า “บริบท” ของราคา ณ ช่วงนั้นเป็นอย่างไร เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพในการเทรดมากที่สุด
ในบทความนี้จะนำเสนอ Set up การผสมผสานของรูปแบบแท่งเทียน กับ Stochastic indicator ในการหาจังหวะการเข้าเทรดอย่างเหมาะสม เป็นการเพิ่มคุณภาพในการใช้การเทรดของรูปแบบแท่งเทียน

Stochastic oscillator
Stochastic Oscillator ปกติมีอยู่ 3 ประเภท คือ Fast, Slow, and Full
เราจะใช้แบบ Full stochastic indicator โดยการตั้งค่าที่ Stochastic indicator (5,3,3)


Morning/Evening star candlestick patterns
เป็นรูปแบบแท่งเทียนที่ค่อนข้างฮิตติดดูในหมู่เทรดเดอร์อย่างมาก
มาดูหน้าตาของมันกันดีกว่า


Trading rules – Stochastic + Candlestick patterns
Long
  1. แนวโน้มเป็นขาขึ้น
  2. Stochastic (5,3,3) อยู่ต่ำกว่าระดับ 20 (แสดงถึงสัญญาณ Oversold)
  3. Buy เมื่อแท่งเทียนเกิดรูปแบบ Morning star
Short
  1. แนวโน้มเป็นขาลง
  2. Stochastic (5,3,3) อยู่สูงกว่าระดับ 80 (แสดงถึงสัญญาณ Overbought)
  3. Sell เมื่อแท่งเทียนเกิดรูปแบบ Evening star

มาดูหน้าตาของ Set up นี้กัน


ในฝั่ง Long เราจะเข้าซื้อเมื่อแนวโน้มหลักเป็นขาขึ้น หาจังหวะที่ Stochastic ลงต่ำกว่าระดับ 20 และรอเข้าเปิด Long เมื่อแท่งเทียนฟอร์มตัวครบรูปแบบ Morning star


ในฝั่ง Short จะเข้าขายเมื่อแนวโน้มหลักเป็นขาลง หาจังหวะที่ Stochastic ลงสูงกว่าระดับ 80 และรอเข้าเปิด Short เมื่อแท่งเทียนฟอร์มตัวครบรูปแบบ Evening star

สไตล์การเทรดของ Set up เป็นลักษณะ Swing trade โดยจะหาจังหวะที่ราคา Pullback แล้วค่อยไปอาศัยจังหวะนั้นในการเทรดเพื่อสร้างกำไร อย่างไรก็ดี ทุกกลยุทธ์ไม่ได้ Perfect 100% อย่าลืมตั้งจุด Stop loss เพื่อป้องกันความเสี่ยงในการผิดทางเกิดขึ้น

ทีมงาน : forexbrokersthailand.com

Limit orders เพื่อราคาที่ดีกว่า

Limit orders เพื่อราคาที่ดีกว่า


การเคาะขวา หรือ โยนซ้าย (Market price) ในการเทรดนั้นจะทำให้เราเสียเปรียบกับการตั้งซื้อ หรือ Limit order อยู่ 1 ก้าว ส่วนต่างค่า Spread ที่ต้องเสียไปนั้นอาจฟังดูเล็กน้อยต่อการเทรด 1 ครั้ง แต่ถ้ากล่าวถึงการเทรดจำนวน 100 ครั้ง หรือ 1000 ครั้งละ จะเห็นภาพชัดขึ้นมาก

ตัวอย่าง Spread ของ EUR/USD
ราคา Bid ที่ 1.4156
ราคา Ask ที่ 1.4159
ค่า Spread ของ EUR/USE จะเท่ากับ 0.0003 หรือ 3 Pips
ถ้าซื้อโดยการเคาะขวา 1 ครั้ง = 3 pips
ถ้าซื้อโดยการเคาะขวา 1000 ครั้ง = 3000 pips
สมมติใช้สัญญา 1,000 ที่เรียกว่า 1 micro lot (0.01) มีค่าประมาณ $0.1 / pip (USD)
ดังนั้น 3 pips = $0.3
3000 pips = $300
เยอะไหมละครับ


บางคนอาจบอกว่า ข้อเสียของการตั้งออเดอร์ หรือ Limit order นั้นคือ “ไม่ได้ของ”
ส่วนตัวเคยคิดเช่นนั้นครับ

บางครั้งที่เรา Limit order ไว้ต่ำกว่าราคาตลาด แต่ราคาย่อตัวไม่ถึงที่เราตั้งไว้ และสุดท้ายวิ่งขึ้นไปในทิศทางที่เราคาดการณ์ ทำให้เสียโอกาสตรงนั้นไป

แต่อย่าลืมว่ามันก็มีหลายครั้งที่ Limit order แล้วราคา Match ได้ราคาที่ดีกว่าตอนเคาะทันที ซึ่งเพราะว่าธรรมชาติของราคานั้นมีการแกว่งตัวขึ้นลงตลอดเวลาอยู่แล้ว เราแค่อาศัย Fact ตรงนี้สร้างข้อได้เปรียบขึ้นมาเป็น Edge อีกหนึ่งอย่าง

ซึ่งมาชั่งน้ำหนักกันแล้วนั้น การตั้ง Limit order นั้นดีกว่ามาก
โดยการเสียแค่โอกาสยังดีกว่าเสียเงินจริงๆ

เทรดเดอร์ควรให้ความสำคัญกับตรงนี้เพราะถ้าตั้งใจจะเป็นเทรดเดอร์ เราเทรดทั้งชีวิตอยู่แล้ว ควรสร้างความได้เปรียบให้ได้มากที่สุด โดยเฉพาะพวก Day trade หรือ Swing trader ที่ใช้การเทรดสั้นๆ เทรดบ่อยๆ ต้องพิจารณาเรื่องนี้ให้ละเอียด

ทีมงาน : forexbrokersthailand.com

EMA 9 WMA 30 Trading setup

EMA 9 WMA 30 Trading setup


9 / 30 trading setup ที่คิดค้นโดย Mike Bruns ผู้ก้อตั้ง TradingNaked ซึ่ง Set up นี้น่าสนใจ จึงอยากจะมานำเสนอให้เพื่อนๆเทรดเดอร์ทราบกับ ไว้เป็นไอเดียในการเทรดต่อไป
Trading rules – 9 / 30 trading setups
Set up นี้ประกอบด้วย เส้นค่าเฉลี่ย 2 เส้น คือ 1. เส้นค่าเฉลี่ย EMA 9 วัน และ 2. เส้นค่าเฉลี่ย WMA 30 วัน

Long setup
  1. EMA 9 อยู่เหนือ WMA 30
  2. ราคาปิด ต่ำกว่า EMA 9 (หรือถ้าเทรดเดอร์ Conservative หน่อยอาจใช้ทั้งแท่งเทียนต่ำกว่า EMA9)
  3. วาง Buy stop ที่ High ของแท่งเทียนที่ปิดต่ำกว่า EMA9 (คือจะเปิด Long เมื่อราคาดีดตัวเหนือ High ของแท่งเทียนที่ปิดต่ำกว่า EMA9)

Short setup
  1. EMA 9 อยู่ต่ำกว่า WMA 30
  2. ราคาปิด สูงกว่า EMA 9 (หรือถ้าเทรดเดอร์ Conservative หน่อยอาจใช้ทั้งแท่งเทียนสูงกว่า EMA9)
  3. วาง Sell stop ที่ Low ของแท่งเทียนที่ปิดสูงกว่า EMA9 (คือจะเปิด Long เมื่อราคาดีดตัวเหนือ High ของแท่งเทียนที่ปิดต่ำกว่า EMA9)

ตัวอย่าง

Long: USD/AUD สังเกตช่วงที่เส้น EMA9 อยู่เหนือ WMA30 รอจังหวะที่ราคาลงมาปิดต่ำกว่าเส้น EMA9 และตั้ง Buy stop ที่ High ของแท่งดังกล่าว

Short: USD/AUD สังเกตช่วงที่เส้น EMA9 อยู่ต่ำกว่า WMA30 รอจังหวะที่ราคาลงมาปิดสูงกว่าเส้น EMA9 และตั้ง Sell stop ที่ Low ของแท่งดังกล่าว

ลองนำไปเป็นไอเดียในการเทรดกันดูนะครับ

ทีมงาน : forexbrokersthailand.com

Bollinger bands (Squeeze)

Bollinger bands (Squeeze)


เป็น Trade setup ที่คิดค้นโดย John Bollinger ที่เป็นตัวผู้คิดเครื่องมือ Bollinger bands นี้เอง เลย

Bollinger bands ประกอบด้วยเส้น 3 เส้น โดยเส้นกลางจะเป็นเส้นค่าเฉลี่ย 20 วัน ส่วนเส้นบนกับเส้นล่างหรือที่เรียกกันว่ากรอบบน และกรอบล่าง นั้นเป็นมาจากเส้นค่าเฉลี่ย 20 วัน + / - ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (Standard deviations) หรือ 2 S.D. นั่นเอง

ใน Set up นี้จะใช้เครื่องมือที่เรียกว่า Bandwidth ที่ไว้วัดความกว้างของกรอบ Bollinger bands
ซึ่งถ้า
- ค่า Bandwidth อ่อนตัวลงต่ำ หมายความว่า กรอบ Bollinger bands นั้นแคบ แสดงถึงความผันผวนต่ำ
- ค่า Bandwidth ปรับตัวขึ้นสูง หมายความว่า กรอบ Bollinger bands นั้นกว้าง แสดงถึงความผันผวนสูง

เงื่อนไขการเทรด
ฝั่ง Long
  1. รอช่วงที่ Bandwidth แตะจุดต่ำสุดในรอบ 120 วัน
  2. เปิด Long ในช่วงที่ราคาปิดเหนือกรอบบนของ Bollinger bands
            ฝั่ง Short
  1. รอช่วงที่ Bandwidth แตะจุดต่ำสุดในรอบ 120 วัน
  2. เปิด Short ในช่วงที่ราคาปิดต่ำกว่ากรอบล่างของ Bollinger bands


ตัวอย่าง USDJPY กับ Set up ในการเทรดรูปแบบนี้ โดยรอจังหวะที่ Bandwidth นั้นทำ Low ต่ำสุดในรอบ 120 วัน ซึ่งแสดงถึงราคาแกว่งตัวในกรอบแคบเตรียมที่ระเบิดขึ้นในอนาคตไม่ช้านี้ และเมื่อราคาขึ้นปิดเหนือกรอบ Bollinger bands ก็เป็นสัญญาณการเปิด Long ตาม เนื่องจากราคาได้เลือกทิศทางในฝั่งขึ้นแล้ว (ส่วน Short ก็ตรงกันข้าม)
ซึ่ง Set up นี้มีหลักการเดียวกันกลยุทธ์ Breakout แต่จะใช้เครื่องมือ Bollinger bands เป็นตัวหาจุดเข้าออก
ลองนำ Set up นี้ไปใช้กันดูนะครับ

ทีมงาน : forexbrokersthailand.com

5 กิจกรรมนอกเหนือจากการเทรดที่จะช่วยเทรดให้ดีขึ้น

5 กิจกรรมนอกเหนือจากการเทรดที่จะช่วยเทรดให้ดีขึ้น


การที่เราจะพัฒนาทักษะการเทรดของเราให้ดีขึ้นนั้น เราไม่จำเป็นต้องอยู่หน้าจอทั้งวันทั้งคืน การเทรดที่ดีที่สุดบางในบางครั้งนั้นคือ การไม่เทรด โดยในช่วงที่เราเกิดแพ้ติดต่อกันเกิดขึ้น เราก็ควรจะหยุดเทรดก่อน เพื่อรักษาอารมณ์ในการเทรดให้กลับมาเป็นปกติก่อน หรือในช่วงที่ราคาไม่เข้าเงื่อนไขของ Set up ของเราเลย เราก็ไม่จำเป็นต้องฝืนเทรด

โดยในช่วงที่ไม่ได้เทรดนั้น เราสามารถทำกิจกรรมอื่นที่นอกเหนือการเทรด ในบทความนี้จะนำเสนอ 5 กิจกรรมต่างๆ ที่นอกเหนือจากการเทรด แต่ถือว่าเป็นกิจกรรมที่จะช่วยพัฒนา ร่ายกาย และ จิตใจ ของเทรดเดอร์ ให้มีประสิทธิภาพในการเทรดที่ดีขึ้น

  1. นั่งสมาธิ
            อันนี้เป็นที่รู้กันดีในหมู่เทรดเดอร์ว่า “จิตใจ” สำคัญต่อการเทรดแค่นั้น การนั่งสมาธิจะเป็นการฝึกจิต ทำให้จิตใจเรานิ่ง ไม่คิดฟุ้งซ่าน ขจัดความคิดที่ยุ่งเหยิงออกไปได้ ซึ่งสิ่งนี้สามารถนำไปเป็นประโยชน์ต่อการเทรดอย่างยิ่ง จะช่วยให้ควบคุมอารมณ์ของตัวเทรดเดอร์ไม่ให้ถูกการเคลื่อนไหวของตลาดนำพาไป

            ยิ่งในช่วง Panic เทรดเดอร์หลายคนจะตกใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น บางครั้งอาจตกใจจนลืมไปหมดว่าต้องทำอะไร แต่ถ้าเทรดเดอร์มีสมาธิแล้วก็จะรับมือกับเหตุการณ์ดังกล่าวได้


  1. เล่นกีฬา
            ฟังดูอ่านไม่ค่อยเกี่ยว แต่อย่าลืมว่าอาชีพเทรดเดอร์ก็เป็นอาชีพนึงที่ต้องใช้ร่างกายในการทำงาน ถึงแม้ไม่ได้อยู่ในรูปแบบการยืน การเดิน แต่เทรดเดอร์ใช้สายตา และความคิดอยู่ตลอดเวลา ซึ่งต้องอาศัยร่างกายที่พร้อมอยู่เสมอเช่นเดียวกัน  หากเราป่วย ไม่สบาย สมองและความคิดของเราก็จะไม่เต็ม 100% การตัดสินจะแย่ลง การเทรดก็จะแย่ลงตามเช่นเดียวกัน ดังนั้นการออกกำลังกายอย่างการเล่นกีฬานั้นถือเป็นอีกกิจกรรมหนึ่งที่เทรดเดอร์ควรทำ เพื่อรักษาสมดุลของร่างกายเอาไว้

            อีกทั้งกีฬายังคล้ายกับการเทรดอย่างหนึ่งคือ ทำให้เรารู้จักการแพ้ให้เป็น การแพ้เพียง 1 ครั้งไม่ได้บอกว่าเราแย่ อย่างการแข่งฟุตบอล ทีมที่เป็นแชมป์ก็ต้องมีการแพ้เกิดขึ้นเป็นปกติอยู่แล้ว แต่ขอให้ชนะมากกว่า ก็เพียงพอต่อการเป็นแชมป์แล้ว เช่นเดียวกับการเทรด การขาดทุนถือเป็นธรรมชาติที่ต้องเกิดขึ้น แต่ขอให้โดยรวมแล้วเรากำไรก็เพียงพอแล้ว

  1. อ่านหนังสือ
        เป็นกิจกรรมที่สร้างความรู้ และคอยเป็นตัวเพิ่มสกิลให้เทรดเดอร์ได้อย่างดีเยี่ยม การเรียนรู้จากบุคคลที่ประสบความสำเร็จมาแล้วนั้นจะเป็นตัวช่วยย่นระยะทางให้เราได้ไปถึงทางนั้นได้เร็วขึ้น ราวกับมีแผนที่คอยชี้ทางให้เราอยู่ตลอดเวลา

  1. ท่องเที่ยว
            การลืมการเทรดไปชั่วขณะหนึ่งก็ถือว่าเป็นสิ่งที่ดี ช่วยให้เราไม่คิดถึงเรื่องต่างๆที่จะเกิดขึ้น หรือเกิดขึ้นไปแล้ว คิดแต่เรื่องสนุกๆ ได้ไปเจอสิ่งใหม่ๆ มันจะช่วยทำให้เมื่อเรากลับมาเทรดใหม่นั้น จิตใจเราเหมือนใหม่ ไม่มี Bias กับภาพเดิมๆ ช่วยวิเคราะห์การเทรดได้ดีขึ้น


  1. พูดคุยกับเทรดเดอร์
            แม้เราจะทำกำไรจากการเทรดสไตล์ของตัวเองได้อย่างต่อเนื่องแล้วก็ตาม การพูดคุยแลกเปลี่ยนแนวคิดการเทรดกับเทรดเดอร์คนอื่นๆ ก็ถือเป็นสิ่งที่ดีเช่นเดียวกัน ได้รู้แนวทางการเทรดรูปแบบอื่นๆ ที่แตกต่างกันออกไป บางทีเราอาจจะได้กลยุทธ์ทำกำไรใหม่ในการเทรด เพื่อเป็นตัวเพิ่มผลตอบแทนของพอร์ตเราได้ด้วยเช่นกัน

ทีมงาน : forexbrokersthailand.com

วันเสาร์ที่ 16 กรกฎาคม พ.ศ. 2559

หาสินค้าในการเทรด

หาสินค้าในการเทรด

            เป็นอีกหนึ่งปัญหาของเทรดเดอร์หลายคนที่มีวิธีการเทรดที่ดีแล้ว แต่ไม่สามารถหาสินค้าเทรดได้ เนื่องจากไม่รู้ว่าสินค้าใดจะเข้าเงื่อนไขของที่เทรดเดอร์กำหนดไว้ การเลือกสินค้าที่เหมาะสมกับวิธีการเทรดของเรา เป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยให้เทรดเดอร์ได้กำไรจากการเทรดอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด
วัฏจักรของตลาด
            การเคลื่อนไหวของตลาดนั้นแตกต่างกันไป แต่วัฏจักรที่เกิดขึ้นของทุกตลาดนั้นต้องมีเหมือนกันคือ ประกอบด้วยช่วงแกว่งตัว (Ranging) และช่วงเป็นแนวโน้ม (Trend) เราสามารถลงรายละเอียดได้ดังภาพด้านล่างนี้

            ในแต่ละช่วง (แต่ละวงกลม) สามารถเกิดขึ้นได้ภาพในไม่กี่ชั่วโมง , หรือเป็นวัน , หรือสัปดาห์ และส่วนมากใน 1 กลยุทธ์ของเทรดเดอร์แต่ละคนนั้น จะทำงานได้ดีในช่วงในช่วงหนึ่งเท่านั้น เช่น Range strategies ทำงานได้ดีในช่วง Ranging , Momentum strategies ทำงานได้ดีในช่วงเป็น Trend และ Reversal system ทำงานได้ดีในช่วงกำลังเปลี่ยนแนวโน้ม
            การเลือกเทรดในตลาดที่เหมาะสมกับเรานั้นเป็นสิ่งสำคัญ ส่วนการเลือกสินค้าที่จะเทรดนั้น เราต้องมองภาพกว้างของแต่ละตลาดว่าเป็นลักษณะใด โดยใช้การทำ Watchlist ในการหาสินค้านั้นๆ

เข้าใจเงื่อนไขตลาดที่เหมาะสมกับกลยุทธ์
            สมมติกลยุทธ์ของเทรดเดอร์ที่ใช้เป็นลักษณะ Reversal system ก็ควรหาสภาพตลาดที่เป็นลักษณะกำลังกลับตัว ไม่เทรดในตลาดที่เป็น Ranging หรือ Breakout อะไรพวกนี้ แยกแยะลักษณะออกไปว่าในแต่ละเงื่อนไขนั้นเหมาะสมกับกลยุทธ์ที่ใช้
ลักษณะตลาดที่ไม่เทรดลักษณะตลาดที่เทรด
Rangingผันผวนปานกลาง
Breakoutโมเมนตัมเริ่มอ่อนตัว
V tops/bottoms
ผันผวนสูง
คัดเลือกสินค้าในการเทรด
            อย่างแรกคือนำสินค้าที่เราสามารถเทรดได้ หรือสินค้าที่เราสนใจทั้งหมดมาใส่รวมกัน สมมติมี 25 ตัว ประกอบด้วย คู่สกุลเงิน , สินค้าโภคภัณฑ์ , ดัชนี โดยในทุกสัปดาห์ควรจะคัดสินค้าที่เหมาะสมกับกลยุทธ์หลักของเรา ขั้นแรกตัดสภาพตลาดที่เป็น Ranging และ High volatility ซึ่งในการคัดเลือกนี้จะสามารถตัดสินค้าที่เราเหมาะสมกับกลยุทธ์ของเทรดเดอร์ถึง 30-40% และขั้นถัดมา เพิ่มรายละเอียดลงมา คือ ช่วงที่โมเมนตัมเริ่มอ่อนตัว เราก็จะเหลือสินค้าที่อยู่ใน Watchlist เราประมาณ 4-5 ตัว และค่อยมาหาสัญญาณการเทรดอีกครั้งหนึ่ง

ทีมงาน : forexbrokersthailand.com

ความจริงเกี่ยวกับการเทรด

ความจริงเกี่ยวกับการเทรด

            ในโลกการเทรดนั้นประกอบด้วยคำพูดเชิงทฤษฎี เชิงเพ้อฝัน ไกลจากความเป็นจริง ในการเทรดจริงนั้นมีแต่คนที่เคยเทรดจริงๆนั้นที่รู้ดีว่า อะไรเป็น อะไร เทรดเดอร์ต้องเจอสถานการณ์อะไรบ้าง สิ่งที่ใดที่ทำให้เทรดเดอร์นั้นสำเร็จ และสิ่งที่ที่จะเป็นตัวทำลายเทรดเดอร์ สิ่งที่จะกล่าวต่อไปนี้คือสิ่งที่รวบรวมจากเทรดเดอร์ที่ย้ำแล้วย้ำอีก ว่าเกิดขึ้นจริงการเทรด ไม่ใช่ทฤษฎี
  1. ถ้าเป้าหมายการทำกำไรของคุณต่ำกว่า 5pips คุณจะโดนค่า Commissions และ Spread กิน
  2. วิธีระบายความเครียดจากความกดดันในการเทรดคือ กีฬา , การดื่ม , วาดภาพ หรืออะไรก็ได้ที่คุณชอบ
  3. การหา Mentor ที่ดีนั้นจะช่วยให้คุณเก่งไวขึ้น
  4. หาสไตล์การเทรดที่เหมาะสมกับคุณลักษณะของคุณและวิธีชีวิตของคุณ
  5. อย่าเทรดเกิน 4 ชั่วโมงต่อวัน
  6. การ Overtrade เป็นหายนะ
  7. เมื่อคุณไม่ได้รู้สึกอะไรกับการพลาดโอกาสการเทรด เป็นสัญญาณว่าคุณเข้าสู่ช่วงที่เทรดกำไร
  8. ในช่วงประกาศข่าวไม่ควรเทรด รอตลาดเฉลยก่อนที่จะเข้าไปเทรด
  9. รอให้ราคาสร้างรูปแบบก่อนค่อยเข้าไปเทรด
  10. อย่าเปลี่ยนระบบเทรดบ่อย แต่ใช้การปรับปรุงระบบที่คุณเลือก
  11. อย่าใช้ Leverage มากเกิน
  12. เป็นไปได้ที่พอร์ตเล็กจะโตเป็นพอร์ตใหญ่ แต่อย่าไปคาดหวังว่ามันจะโตเพียงช่วงข้ามคืน
  13. การเทรดบางทีก็เร็ว บางทีก็ช้า บางทีก็อาจไม่ได้เข้าเลย
  14. ความเสี่ยงต่อการเทรดนั้นขึ้นอยู่กับความผันผวน และระดับจิตวิทยาที่คุณรับได้
  15. ต้องรู้ว่าคุณเทรดไปเพื่ออะไร
  16. Daytrade ไม่ได้ง่ายกว่า Swingtrade และ Swingtrade ก็ไม่ง่ายกว่า Daytrade เช่นกัน ทั้ง 2 สไตล์กาเทรดนี้ใช้ทักษะ , ความสามารถ , วิธีการ ที่ไม่เหมือนกัน
  17. ถามตัวเองว่า ชอบการเทรดจริงๆหรือเปล่า ถ้าใช่อยู่ต่อ ถ้าไม่ใช่ ไปทำอย่างอื่นซะ
  18. No pain , no gain (ถ้าไม่รู้จักเจ็บก็จะไม่รู้จักคำว่าเติบโต)
  19. การฟังเพลงในขณะเทรดเป็นสิ่งที่ดี เหมือนกันการฟังเพลงในรถ ถ้าเป็นเพลงหนักๆ รุนแรง คุณก็จะเหยียบคันเร่งมากกว่าขณะฟังเพลงนุ่มๆ สบายๆ การเทรดก็เช่นกัน
  20. ต้องมี Trading journal และทบทวน ทบทวน ทบทวน
  21. ขยัน เรียนรู้ให้มาก และสร้างความมั่นใจให้กับตัวเอง
  22. ที่บอกว่าอย่าเปลี่ยนระบบเทรด นั่นจริงเพียงบางส่วน ก่อนจะได้ระบบเทรดที่ใช้นั้นควรศึกษากลยุทธ์ต่างๆ ให้หมด เพื่อหาว่าสิ่งใดเหมาะกับคุณ
  23. การนั่งจ้องหน้าจอไม่ได้ช่วยให้คุณพัฒนาขึ้นเลย การทบทวนบันทึกการเทรดต่างหากที่ทำให้คุณพัฒนาขึ้น
  24. เทรดเดอร์ไม่จำเป็นต้องฉลาดเป็นกรด แต่ขอแค่มีจิตวิทยาในการเทรดที่ดีก็เพียงพอแล้ว
  25. อย่าไปโฟกัสที่เงิน โฟกัสที่วิธีการ
  26. อย่าไปกำไรขาดทุนในระหว่างการเทรด
  27. ถ้ามีหนังสือเทรด 2 เล่มให้คุณอ่าน 2 เล่มนั้นควรเป็น Diary Of A Professional Commodity Trader ที่เขียนโดย Peter Brandt และ Pitbull เขียนโดย Marty Schwartz 
  28. เทรดตามแนวโน้มไม่ได้ง่ายไปกว่าเทรดสวนแนวโน้มเลย
  29. ถ้าจะจ่ายเงินค่าเรียนเกี่ยวกับการเทรด ควรแยกระหว่างเทรดเดอร์ตัวจริงกับตัวปลอมให้ออก
  30. การเป็น Fulltime trader นั้นเป็นต้องเผชิญกับช่วงเวลาดี ๆ และ ร้าย ๆ บ่อยมาก
  31. พยายามให้อาหารสมองและอาการกายที่ดี
  32. Twitter เป็นแหล่งของมูลที่ดีในการเรียนรู้เกี่ยวกับการเทรด พวกเวปบอร์ดต่าง ๆ 95% มักเป็นข้อมูลขยะ
  33. เช่นเดียวกับ Youtube ที่มีทั้งดีและไม่ดี หน้าที่เราคือต้องแยกแยะมันให้ออก
  34. ทำการวางแผนการเทรดให้เป็นนิสัย
  35. เรียนรู้พวกพื้นฐานและรูปแบบราคาหลักๆ เช่น H&S , Wedges , Triangles เป็นต้น
  36. ไม่ต้องหา Tops หรือ Bottoms เพียงแต่จับจังหวะการเคลื่อนไหวระหว่างทาง
  37. เชื่อมั่นใจความสามารถของตัวเองและกลยุทธ์ที่ใช้

ทีมงาน : forexbrokersthailand.com

การวิเคราะห์ Order

การวิเคราะห์ Order

            การเทรดที่ดีคือหาข้อได้เปรียบในการเทรดให้มีมากที่สุด ไม่ว่าจะใช้วิธีการเทรด Technical หรือ Fundamental เราไม่ควรต้องแยกว่าถ้าเป็นนักเทคนิค จะไม่ต้องไปดูพื้นฐาน แต่เราควรใช้ 2 ทางนี้เพื่อสร้างกำไรแก่ตัวเราเองให้มากที่สุด
            ในบทความนี้จะกล่าวถึงการวิเคราะห์ Order การเปิด Position ของนักลงทุน ซึ่งสามารถนำข้อมูลเหล่านี้มาประกอบการเทรดเพื่อสร้างโอกาสการทำกำไรได้เช่นกัน

Open position ratios
            ใน Website ของ OANDA ซึ่งให้บริเวณข้อมูลด้านนี้ โดยใน Website จะแสดง Forex open positions rations ของคู่สกุลเงินต่างๆ ที่ลูกค้าของทาง Broker นั้นที่เปิดสถานะอะไรไว้บ้าง ถึงแม้ OANDA จะให้ข้อมูลของลูกค้าในโบรกของเขาเพียงแหล่งเดียว แต่เนื่องจากโบรก OANDA เป็นโบรกขนาดใหญ่ สามารถนำข้อมูลนี้มาวิเคราะห์แทนตลาดโดยรวมได้

      ในการวิเคราะห์ข้อมูลนี้ คือเราสามารถใช้ข้อมูลนี้แทน Indicator ตัวหนึ่งได้เลย โดยใช้หลักการที่ว่านักลงทุนส่วนมากมักคาดการณ์ผิด โดยจะเปิดสถานะตรงข้ามกับคนส่วนใหญ่ เช่นถ้าเห็นว่า EURGBP เทรดเดอร์ส่วนมากถือ Short เป็นจำนวนมาก คิดเป็น 64.48 % เมื่อเทียบกับปริมาณฝั่ง Long ที่มีเพียง 35.52% ซึ่งเทรดเดอร์สามารถนำข้อมูลนี้ไปพิจารณาในการเปิดสถานะ Short
            วิธีการนี้ไม่เหมาะสำหรับ Short-term trading เนื่องจากเป็นข้อมูลเชิงพื้นฐานต้องใช้เวลาในการปรับเปลี่ยนการเคลื่อนไหวของตลาด ให้เป็นไปตามพื้นฐาน
แต่! หลักการนี้ไม่ได้สามารถใช้กับทุกตลาด
            สิ่งหนึ่งที่ต้องตระหนักเลยคือ หลักการนี้ไม่สามารถใช้ได้กับทุกตลาด โดยเฉพาะ ราคาทองคำ หรือพวกสกุลเงินที่ใช้นโยบายการเงินในประเทศหนุนหลัง
OANDA Order book
            อีกหนึ่งเครื่องมือที่น่าสนใจคือ OANDA Order book สามารถใช้หาข้อมูลการเคลื่อนไหวของตลาด ผ่านทางการดู Order ที่เปิดของคนส่วนมาก โดยมักจะสังเกตได้ว่าคนส่วนมากมักเปิด Order ไว้ที่บริเวณ Round number (เลขกลมๆ) ซึ่งสามารถใช้บริเวณนี้เป็นแนวรับ / แนวต้าน ในการเทรดได้เช่นกัน

ทีมงาน : forexbrokersthailand.com

กฎ 4ข้อสำหรั บการหาจุดกลับตัว

กฎ 4ข้อสำหรั บการหาจุดกลับตัว

#1 แนวรับ แนวต้าน เพียงอย่างเดียวอาจไม่เพียงพอ
            เป็นสิ่งที่เทรดเดอร์มือใหม่ส่วนมากมักติดกับดักตรงนี้ ตรงมักซื้อ/ขายในบริเวณแนวรับแนวต้าน เนื่องจากตามตำรา หรือในกูรูต่างๆ ชอบโชว์ความหัศจรรย์ของแนวแนวต้านเพียงอย่างเดียว ในความเป็นจริงส่วนมากจะเจอการทะลุหลอกเป็นส่วนใหญ่ การเปิดออเดอร์ก่อนราคาถึงแนวรับแนวต้านนั้นคล้ายกับการเก็บเหรียญ 5 บาทหน้ารถสิบล้ออะไรประมาณนี้ ซึ่งการใช้เพียงเครื่องมือเดียวนั้นอาจไม่เพียงพอต่อการหาจุดกลับตัว
#2 รอการยืนยันก่อน
            ไม่ควรทำนายราคา แต่ควรให้ตลาดเฉลยทิศทางที่จะไปดีกว่า เพราะเราไม่สามารถคาดการณ์ราคาในอนาคตของตลาดได้อยู่แล้ว และไม่สามารถเข้าที่จุด High และจุด Low หน้าที่ของเทรดเดอร์เพียงแค่เกาะช่วงกลางของแนวโน้มก็สามารถทำกำไรในตลาดได้แล้ว การรอจนกว่าราคาจะยืนยันการกลับตัวจะปลอดภัยกว่า
#3 ความแข็งแกร่งของแรงซื้อ
            สังเกตุช่วงราคาที่มีแรงซื้อกลับขึ้นมาอย่างแข็งแกร่ง จะเป็นบริเวณแนวรับที่แข็งแกร่งเช่นกัน และมีโอกาสเป็นจุดกลับตัวสูง การพิจารณาความแข็งแกร่งของแรงซื้อก็จะช่วยให้เทรดเดอร์สร้างโอกาสในการเทรดได้เช่นกัน
#4 ความชันของราคา
            เมื่อราคาจะกลับตัวนั้น โมเมนตัมของราคาจะอยู่ในช่วงอ่อนแรงลง ซึ่งสามารถดูได้จากความชันของการเคลื่อนไหวของราคา ในช่วงที่ชันมาก แสดงถึงโมเมนตัมสูง และในช่วงที่ความชันต่ำ แสดงถึงโมเมนตัมการเคลื่อนไหวของราคาที่ต่ำลง คล้ายกับรถที่รถความเร็วในการเคลื่อนไหว

ทีมงาน : forexbrokersthailand.com