วันจันทร์ที่ 2 มกราคม พ.ศ. 2560

เทรดบนภาพรายวัน

เทรดบนภาพรายวัน


เชื่อไหมว่าเทรดเดอร์มืออาชีพหลายๆ คนเขาไม่ได้มานั่งเฝ้าจอทั้งวัน เขาเพียงแค่เชคกราฟวันละ 1-2 ครั้ง ส่วนมากก็เป็นช่วงเปิด และปิดของวัน แค่นั้น ใช้เวลาเพียงไม่กี่นาที ก็สามารถเทรดได้กำไรอย่างต่อเนื่อง เพราะอะไรเขาเหล่านั้นถึงทำอย่างนี้ได้รู้ไหมครับ … ก็เพราะว่าเขาบน Time frame “Day” นั่นเองครับ
เป็น Time frame ที่เทรดง่าย และมีประสิทธิภาพ เพราะว่า
  1. มีเวลาการวิเคราะห์เยอะ
  2. ไม่มีถูกอารมณ์ดึงไปจากการแกว่งตัวระหว่างวัน
  3. เป็นภาพที่สะท้อนพฤติกรรมของราคาที่ Make sense ที่สุด
  4. โดยค่าธรรมเนียมน้อยกว่าการเทรดในภาพสั้น จำพวกราย 5 นาที หรือ 10 นาที
  5. ใช้เวลาในการเฝ้าจอน้อย มีเวลาไปวางแผน สร้างกลยุทธ์เทรดต่างๆมากมาย


ซึ่งข้อดีต่างๆ เหล่านี้ล้วนทำให้เทรดเดอร์เทรดได้อย่างมีประสิทธิภาพ และยังบริหารเวลาในการใช้ชีวิตได้ดีอีกด้วย อันนี้เป็นสิ่งสำคัญมากสำหรับอาชีพเทรดเดอร์ ตลาด Forex เปิด 24 ชั่วโมง เราไม่มีทางเฝ้าจอได้ตลอดได้ทั้งวันอยู่แล้ว ไม่จำเป็นเลยที่ต้องไปทำอย่างนั้น เสียทั้งสุขภาพกาย และสุขภาพจิต
เทรดเดอร์มือใหม่มักจะพยายามลงไปเทรด Time frame เล็ก อย่าง 5 นาที หรือ 10 นาที คิดว่าการเทรดบ่อยๆจะสร้างกำไรให้เร็วขึ้น ซึ่งเป็นความคิดที่ผิด … ยิ่งย่อย Time frame ลงไป กรอบการแกว่งตัวก็จะลดลง ช่วงให้เราเก็บกำไรก็จะน้อยลงตามเช่นกัน … อีกทั้งการเทรดภาพสั้นที่ต้องอาศัยทักษะการตัดสินใจที่รวดเร็ว และแม่นยำ มีเทรดเดอร์เพียงน้อยคนที่จะมีสกิลนี้ ซึ่งต้องเป็นระดับมืออาชีพเท่านั้นถึงจะลงไปเล่นในเกมส์นี้ได้ เทรดเดอร์ธรรมดาอย่างเราๆไม่จำเป็นต้องลงไปแข่งในเกมส์ที่โอกาสชนะน้อย ให้เล่นในเกมส์ที่โอกาสชนะเรามีมากดีกว่า แค่นั้น .... เพราะผลลัพธ์สุดท้ายแล้วมันคือ “กำไร” เหมือนกัน

ทีมงาน : forexbrokersthailand.com

ตีแนวรับแนวต้านแบบมืออาชีพ (2)

ตีแนวรับแนวต้านแบบมืออาชีพ (2)



#5 ควรดูกราฟย้อนหลังกี่วัน กี่เดือน หรือกี่ปี
ยิ่งราคาผ่านมานานแค่ไหน ความสำคัญของราคาในช่วงนั้นยิ่งน้อยลงแค่นั้น
ยกตัวอย่างว่า
ช่วงของค่าเงิน USDJPY เมื่อ 20 ปีย้อนหลัง ลองคิดดูว่า 20 ปีที่ผ่านมา พื้นฐานของค่าเงินนี้ได้เปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก ราคา ณ ตอนนั้นแทบไม่ได้มีความหมายอะไรเลยกับปัจจุบัน ไม่ควรเอามาใช้เป็นแนวรับแนวต้าน
คำถามคือแล้วกี่วัน กี่เดือน หรือกี่ปี ละจะดีที่สุด
ช่วงเวลาแนะนำคือ 3 – 6 เดือน สำหรับเทรดเดอร์ทั่วไป เนื่องจากเป็นช่วงที่เทรดเดอร์ส่วนมากนิยมกัน

#6 อย่าตีเยอะ
เคยเห็นเทรดเดอร์บางคนตีเส้นแนวรับแนวต้านเต็มไปหมด เหมือนกับรูปวาดอะไรบางอย่างเลยทีเดียว ในการใช้เทรดจริงนั้น ไม่จำเป็นเทรดทุกแนวรับแนวต้าน ให้เทรดเฉพาะแนวรับแนวต้านที่ชัดเจน ที่สำคัญจริงๆ เพื่อให้การเทรดของเรานั้นเกิดประสิทธิภาพสูงที่สุด


จะเห็นได้ว่ากราฟด้านบนนี้ รกเต็มไปหมด อาจที่ให้เกิดความสับสนในการเทรดได้ คำแนะนำคือตีเฉพาะบริเวณที่มีนัยสำคัญๆ ก็เพียงพอแล้ว
การเทรดไม่จำเป็นต้องเทรดบ่อย เทรดน้อยแต่มีประสิทธิภาพ กำไรที่ได้จะมากกว่าคนเทรดบ่อยอีก

#7 ไม่เป็นจำต้องเป็น High Low หรือ Close
Technical บางตำรา บอกให้ตีแนวรับแนวต้านจากจุด High หรือจุด Low เท่านั้น หรือบางตำราให้ตีจาก Close เท่านั้น ซึ่งในสถานการณ์จริงไม่จำเป็นเลยที่ต้องเป็น High กับ Low หรือไม่จำเป็นเลยที่ต้องเป็น Close จะเป็นอะไรก็นั้น ให้ดูเป็นบริเวณมากกว่า

#8 ระดับ หรือ บริเวณ
ต้องเข้าใจก่อนเลยว่าแนวรับแนวต้านไม่จำเป็นต้อง เป๊ะ 100% บางคนชอบใช้เป็นระดับที่เป๊ะๆ ซึ่งพอเอาไปเทรดจริงมักจะพัง เพราะตลาดจริงนั้นแกว่งตัวไม่เป็นไปตามทฤษฎีอยู่แล้ว จึงแนะนำให้ดูเป็น “บริเวณ” มากกว่า จะบ่งชี้ได้ดีกว่า


เชื่อว่าถ้าเทรดเดอร์นำ 8 หลักการที่กล่าวมานี้ไปใช้ในการตีเส้นแนวรับแนวต้านในการเทรด Forex จะช่วยให้การเทรดนั้นมีประสิทธิภาพเพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะเทรดเดอร์สาย Price action ที่ชอบดูพฤติกรรมของราคา โดยไม่ใช้พวก Indicator ในการเทรดนั้นก็จะเทรดได้อย่างดียิ่งๆขึ้นไปครับ

ทีมงาน : forexbrokersthailand.com

วันเสาร์ที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2559

ตีแนวรับแนวต้านแบบมืออาชีพ (1)

ตีแนวรับแนวต้านแบบมืออาชีพ (1)


มีหลายคนสงสัยมากว่าการตีเส้นแนวรับแนวต้านที่ถูกต้องนั้นเป็นอย่างไร เพราะเห็นเทรดเดอร์หลายแต่ละคนก็ตีไม่เหมือนกัน ซึ่งเป็นที่สับสนอย่างมากสำหรับเทรดเดอร์มือใหม่ จะงงกันว่าตกลงมันตรงไหนกันแน่ บางคนระดับนี้ บางคนอีกระดับนึง

ต้องบอกในที่นี้ก่อนเลยว่า มันไม่มีถูกผิดในการตีแนวรับแนวต้าน อยู่ที่มุมมองของเทรดเดอร์ท่านนั้นว่าตีทำไม ตีเพื่ออะไรมากกว่า แต่มันจะผิดคือไม่เทรดเดอร์ตีโดยปราศจากวัตถุประสงค์ หรือตีมั่วๆ
ในบทความนี้จะนำแนวทางในการตีแนวรับแนวต้านแบบมืออาชีพมาแชร์ให้กับเพื่อนๆที่เทรด Forex มาศึกษาและนำไปประยุกต์ใช้กัน ซึ่งบอกได้เลยว่าแต่ละแนวทางนั้นมีประสิทธิภาพในการนั้นไปใช้งานจริงอย่างมาก


#1 ทำให้กราฟให้สะอาด
เพื่อให้เราหาบริเวณแนวรับแนวต้านได้อย่างชัดเจนนั้น ควรเริ่มจากการทำกราฟของเราให้สะอาดก่อนเป็นอันดับแรก ลบเครื่องมือ Indicator ต่างๆ ทั้งเส้นค่าเฉลี่ย , กรอบ BB , ตัวเลข Fibo และอื่นๆ ให้เหลือเพียงแท่งเทียนเปล่าๆ เพื่อที่เราจะได้มองกราฟได้อย่างชัดเจน

#2 เริ่มจากภาพรายสัปดาห์
ภาพรายสัปดาห์ เป็นภาพใหญ่ที่แนะนำให้เทรดเดอร์พิจารณาก่อน เพื่อหาบริเวณแนวรับ แนวต้านสำคัญๆ เอาไว้พิจารณาในการเทรด เนื่องจากการเคลื่อนไหวของราคาในภาพใหญ่นั้นค่อนข้างชัดเจนและมีนัยสำคัญ

USDJPY ในภาพรายสัปดาห์ เป็นตัวอย่างในการตีเส้นแนวรับ แนวต้านบริเวณที่มีนัยสำคัญ ซึ่งจะสังเกตได้ว่าบริเวณดังกล่าวราคาทดสอบอยู่บ่อยครั้ง

#3 ย่อลงไปดูภาพรายวัน
หลังจากที่ดูรายใหญ่ไปแล้ว ก็ย่อยลงมาดูในภาพรายวัน ภาพที่เทรดเดอร์แทบทุกคนดูภาพนี้
ในที่นี้ให้มาสังเกตหาบริเวณแนวรับแนวต้านเช่นเดียวกัน
แต่ในภาพรายวันนั้นภาพจะไม่ชัดเจนเท่ากับในภาพรายสัปดาห์ ซึ่งแนะนำให้เทรดเดอร์สังเกตแต่บริเวณที่ชัดเจนจริงๆ ตรงไหนคลุมเครือให้ข้ามไป
โดยสามารถแยกเป็น
            - แนวรับแนวต้าน “สำคัญ”
            - แนวรับแนวต้าน “ย่อย”

ดังตัวอย่าง


กราฟเดิมของ USDJPY แต่ Time frame เป็นภาพรายวัน
- โดยเส้นปะสีน้ำเงินเข้มนั้นเป็นเส้นแนวรับแนวต้านในภาพรายสัปดาห์เดิมที่วางไว้
- เส้นสีเขียวเป็นแนวรับแนวต้าน “สำคัญ” ในภาพรายวัน
- เส้นสีชมพูเป็นแนวรับแนวต้าน “ย่อย” ในภาพรายวัน

#4 ความแตกต่างระหว่างแนวรับแนวต้าน “สำคัญ” กับ “ย่อย”
บางคนอาจสงสัยว่าจาก #3 ที่บอกว่าสามารถแยกแนวรับแนวต้านเป็น 2 แบบ คือ สำคัญ กับ ย่อย คำถามคืออันไหนถึงเรียกว่าสำคัญ แล้วอันไหนถึงเรียกว่าย่อย
มันไม่มีคำจำกัดความที่ชัดเจนว่า บริเวณนี้ต้องเป็น สำคัญ บริเวณนี้ต้องเป็น ย่อย ซึ่งขึ้นอยู่กับเทรดเดอร์ที่ตีเส้นดังกล่าว
โดยในความหมายทั่วไป
สำคัญ คือ บริเวณที่มีการทดสอบบ่อยครั้ง (3 ครั้งขึ้นไป)
ย่อย คือ บริเวณที่มีการทดสอบไม่บ่อยครั้ง (2 - 3 ครั้ง)

ซึ่งแล้วการแยกประเภทว่าอันไหนสำคัญ อันไหนย่อย นั้นก็เพื่ออะไร
ก็เพื่อที่จะแบ่งบริเวณว่า


ถ้าช่วงที่ราคาลงมาทดสอบบริเวณแนวรับแนวต้าน “สำคัญ” เราก็จะให้ความสำคัญกับตรงนั้นมากขึ้น อาจมีการเพิ่ม Size การเทรด  เพราะโอกาสการกลับตัวนั้นมีสูง
และถ้าช่วงไหนที่ราคาลงมาทดสอบบริเวณแนวรับแนวต้าน “ย่อย” เราก็จะให้ความสำคัญกับตรงนั้นลดน้อยลง อาจลด Size การเทรด เพราะโอกาสการกลับตัวนั้นลดลง

ทีมงาน : forexbrokersthailand.com

จัดการกับความกลัวในการเทรด Forex

จัดการกับความกลัวในการเทรด Forex



“ความกลัว” ในโลกของการเทรด Forex นั้น หลักๆนั้นมากจาก โอกาสที่จะสูญเสียเงินลงทุน ที่มันสามารถเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ และกับเทรดเดอร์ทุกคน

อารมณ์กลัว ถือเป็นพื้นฐานของมนุษย์ที่ทุกคนมี เป็นสิ่งที่เทรดเดอร์ต้องเผชิญ เพียงแต่เราจะจัดการหรือควบคุมมันได้มากน้อยแค่ไหน

หลายคนคงเคยเจอเหตุการณ์เช่นนี้
…ถือ Long ค่าเงิน EUR/USD ที่ต้นทุน 1.3220
จุดตัดขาดทุนตั้งไว้ที่ 1.3190
ราคา ณ ตอนนั้นเท่ากับ 1.3205 ดังนั้นขาดทุนอยู่ 15 pips
ซึ่งราคาได้ย่อลงมาใกล้จุดตัดขาดทุนแล้ว
หลายคนจะเริ่มกลัว เริ่มกังวล ว่าการเทรดครั้งนี้อาจจะแพ้ได้
กลัวการที่อนาคตอาจขาดทุนเพิ่มมากขึ้นมากกว่าตอนนี้
สุดท้าย ก็ปิดออเดอร์นั้นไป
และหลังจากนั้นก็เหมือนกับมือใหม่หลายๆคนเจอคือ ราคามักวิ่งไปตามที่เราคาด หลังจากที่เราพึ่งปิดออเดอร์นั้นไป


เทรดเดอร์ส่วนใหญ่มักเป็นอย่างนั้น และส่วนใหญ่ที่ขาดทุน ดังนั้นหากจะเป็นเทรดเดอร์ที่กำไรนั้นจะต้องเป็นคนส่วนน้อย
เป็นคนที่สามารถควบคุมความกลัวได้
ส่วนการที่จะควบคุมความกลัวได้นั้น คือเราต้องรู้ว่าตัวเองกำลังกลัว
เพราะการที่รู้ว่าตัวเองนั้นเป็นสิ่งที่ดี เป็นสัญญาณเตือนว่าเรากำลังรู้สึกอะไรบางอย่างที่ไม่ดีในการเทรด
จากนั้นก็ให้ตั้งคำถามกับตัวเองย้อนกลับไปว่า “ทำไมเราถึงกลัว”
  • กลัวขาดทุน ?
  • พื้นฐานเปลี่ยน ?
  • สัญญาณเทคนิคเปลี่ยน ?
เมื่อรู้แล้วว่าทำไมเราถึงกลัว เราจะกลับมาตัดสินใจเทรดได้ดีขึ้น
แต่อย่างไรก็ตาม ถ้าเราไม่สามารถวิเคราะห์ได้ว่าเรากำลังกลัวอะไร เราสามารถกลับไปดูแผนการเทรดของเรา ซึ่งจะทำให้เรารู้ว่าเราควรทำอย่างไรก็เหตุการณ์นั้นๆ แผนการเทรดจะช่วยดึงอารมณ์การเทรดของเรากลับมาได้เช่นเดียวกัน

ทีมงาน : forexbrokersthailand.com

วันจันทร์ที่ 26 ธันวาคม พ.ศ. 2559

Trend, Zone และ Signal

Trend, Zone และ Signal


ขอเรียกหลักการนี้ว่า T.Z.S. เป็นแนวคิดที่เอาไว้ช่วยให้เทรดเดอร์ เข้าเทรดอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยเป็นหา “แนวโน้ม” , “แนวรับแนวต้าน” และ “จังหวะเข้า” ที่ 3 อย่างนี้ต้องเกิดขึ้นพร้อมกันถึงจะเข้าเทรด
เป็นลักษณะการเทรดเป็น Price action หรือดูกราฟเปล่าๆในการวิเคราะห์


Trend
เริ่มจาก Trend หรือ แนวโน้ม
เราจะดูว่าแนวโน้มในช่วงนั้นเป็น ขาขึ้น หรือ ขาลง
ถ้าเป็น ขาขึ้น จะเล่นแต่ฝั่ง Long เพื่อไม่สวนแนวโน้ม
และถ้าเป็น ขาลง ก็จะเล่นแต่ฝั่ง Short


จากตัวอย่าง GBP/USD แนวโน้มหลักนั้นเป็น ขาขั้น
ซึ่งสังเกตได้ว่าเล่นฝั่ง Long จะได้เปรียบกว่าเล่นฝั่ง Short ค่อนข้างเยอะ

Zone
จากนั้นก็มาดูแนวรับแนวต้าน โดยเราจะสังเกตเป็นบริเวณ หรือ Zone มากกว่า ที่จะเป็น Level หรือ ระดับ เพราะว่าการเคลื่อนไหวของราคานั้นไม่ได้เป็นระดับเป๊ะ ๆ 100%


จากตัวอย่าง GBP/USD สามารถหาบริเวณโซนแนวรับแนวต้านสำคัญได้แถว 1.6200 – 1.6300 เป็นโซนที่ราคาขึ้นและลงทดสอบอยู่บ่อยครั้ง

Signal
เป็นหาจุดที่เราจะเปิดออเดอร์นั้นจริงๆ


จากตัวอย่าง GBP/USD ใช้ Signal โดยรูปแบบแท่งเทียนที่มีลักษณะ Bullish pinbar แสดงถึงแรงซื้อที่แข็งแกร่งคอยพยุงราคา

โดยจะเข้าก็ต่อเมื่อ
ทั้ง Trend , Zone และ Signal เกิดขึ้นพร้อมกันทั้ง 3 อย่างนี้
เป็นการสร้างโอกาสการชนะให้สูงขึ้นอย่างมากกว่าการเทรดโดยเพียงดู 1 หรือ 2 อย่าง


จากตัวอย่าง GBP/USD ใช้หลักการ T.Z.S. ที่ประกอบด้วย Trend , zone และ signal มาประกอบกันทั้งหมด เป็นจังหวะในการเข้าอย่างมีประสิทธิภาพ

ทีมงาน : forexbrokersthailand.com

Stochastic กับ รูปแบบแท่งเทียน

Stochastic กับ รูปแบบแท่งเทียน




เทรดเดอร์มือใหม่หลายคนมักใช้รูปแบบแท่งเทียนในการเทรดแบบผิดๆ โดยส่วนมากมักใช้ตรงๆ คือเมื่อเกิดรูปแบบตามตำราที่บอกไว้ ก็เทรดตาม อย่างเช่น แท่งเทียนเกิดรูปแบบ Morning star ก็เข้าเทรด ซึ่งอาจไม่เหมาะสม เพราะเราต้องดูภาพรวมของราคาอีกด้วย ว่า “บริบท” ของราคา ณ ช่วงนั้นเป็นอย่างไร เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพในการเทรดมากที่สุด
ในบทความนี้จะนำเสนอ Set up การผสมผสานของรูปแบบแท่งเทียน กับ Stochastic indicator ในการหาจังหวะการเข้าเทรดอย่างเหมาะสม เป็นการเพิ่มคุณภาพในการใช้การเทรดของรูปแบบแท่งเทียน

Stochastic oscillator
Stochastic Oscillator ปกติมีอยู่ 3 ประเภท คือ Fast, Slow, and Full
เราจะใช้แบบ Full stochastic indicator โดยการตั้งค่าที่ Stochastic indicator (5,3,3)


Morning/Evening star candlestick patterns
เป็นรูปแบบแท่งเทียนที่ค่อนข้างฮิตติดดูในหมู่เทรดเดอร์อย่างมาก
มาดูหน้าตาของมันกันดีกว่า


Trading rules – Stochastic + Candlestick patterns
Long
  1. แนวโน้มเป็นขาขึ้น
  2. Stochastic (5,3,3) อยู่ต่ำกว่าระดับ 20 (แสดงถึงสัญญาณ Oversold)
  3. Buy เมื่อแท่งเทียนเกิดรูปแบบ Morning star
Short
  1. แนวโน้มเป็นขาลง
  2. Stochastic (5,3,3) อยู่สูงกว่าระดับ 80 (แสดงถึงสัญญาณ Overbought)
  3. Sell เมื่อแท่งเทียนเกิดรูปแบบ Evening star

มาดูหน้าตาของ Set up นี้กัน


ในฝั่ง Long เราจะเข้าซื้อเมื่อแนวโน้มหลักเป็นขาขึ้น หาจังหวะที่ Stochastic ลงต่ำกว่าระดับ 20 และรอเข้าเปิด Long เมื่อแท่งเทียนฟอร์มตัวครบรูปแบบ Morning star


ในฝั่ง Short จะเข้าขายเมื่อแนวโน้มหลักเป็นขาลง หาจังหวะที่ Stochastic ลงสูงกว่าระดับ 80 และรอเข้าเปิด Short เมื่อแท่งเทียนฟอร์มตัวครบรูปแบบ Evening star

สไตล์การเทรดของ Set up เป็นลักษณะ Swing trade โดยจะหาจังหวะที่ราคา Pullback แล้วค่อยไปอาศัยจังหวะนั้นในการเทรดเพื่อสร้างกำไร อย่างไรก็ดี ทุกกลยุทธ์ไม่ได้ Perfect 100% อย่าลืมตั้งจุด Stop loss เพื่อป้องกันความเสี่ยงในการผิดทางเกิดขึ้น

ทีมงาน : forexbrokersthailand.com

Limit orders เพื่อราคาที่ดีกว่า

Limit orders เพื่อราคาที่ดีกว่า


การเคาะขวา หรือ โยนซ้าย (Market price) ในการเทรดนั้นจะทำให้เราเสียเปรียบกับการตั้งซื้อ หรือ Limit order อยู่ 1 ก้าว ส่วนต่างค่า Spread ที่ต้องเสียไปนั้นอาจฟังดูเล็กน้อยต่อการเทรด 1 ครั้ง แต่ถ้ากล่าวถึงการเทรดจำนวน 100 ครั้ง หรือ 1000 ครั้งละ จะเห็นภาพชัดขึ้นมาก

ตัวอย่าง Spread ของ EUR/USD
ราคา Bid ที่ 1.4156
ราคา Ask ที่ 1.4159
ค่า Spread ของ EUR/USE จะเท่ากับ 0.0003 หรือ 3 Pips
ถ้าซื้อโดยการเคาะขวา 1 ครั้ง = 3 pips
ถ้าซื้อโดยการเคาะขวา 1000 ครั้ง = 3000 pips
สมมติใช้สัญญา 1,000 ที่เรียกว่า 1 micro lot (0.01) มีค่าประมาณ $0.1 / pip (USD)
ดังนั้น 3 pips = $0.3
3000 pips = $300
เยอะไหมละครับ


บางคนอาจบอกว่า ข้อเสียของการตั้งออเดอร์ หรือ Limit order นั้นคือ “ไม่ได้ของ”
ส่วนตัวเคยคิดเช่นนั้นครับ

บางครั้งที่เรา Limit order ไว้ต่ำกว่าราคาตลาด แต่ราคาย่อตัวไม่ถึงที่เราตั้งไว้ และสุดท้ายวิ่งขึ้นไปในทิศทางที่เราคาดการณ์ ทำให้เสียโอกาสตรงนั้นไป

แต่อย่าลืมว่ามันก็มีหลายครั้งที่ Limit order แล้วราคา Match ได้ราคาที่ดีกว่าตอนเคาะทันที ซึ่งเพราะว่าธรรมชาติของราคานั้นมีการแกว่งตัวขึ้นลงตลอดเวลาอยู่แล้ว เราแค่อาศัย Fact ตรงนี้สร้างข้อได้เปรียบขึ้นมาเป็น Edge อีกหนึ่งอย่าง

ซึ่งมาชั่งน้ำหนักกันแล้วนั้น การตั้ง Limit order นั้นดีกว่ามาก
โดยการเสียแค่โอกาสยังดีกว่าเสียเงินจริงๆ

เทรดเดอร์ควรให้ความสำคัญกับตรงนี้เพราะถ้าตั้งใจจะเป็นเทรดเดอร์ เราเทรดทั้งชีวิตอยู่แล้ว ควรสร้างความได้เปรียบให้ได้มากที่สุด โดยเฉพาะพวก Day trade หรือ Swing trader ที่ใช้การเทรดสั้นๆ เทรดบ่อยๆ ต้องพิจารณาเรื่องนี้ให้ละเอียด

ทีมงาน : forexbrokersthailand.com